บอร์ดอีอีซี ขีดเส้น 4 เดือน! สั่ง รฟท. เคลียร์ ซีพี จบปมแก้สัญญา ไฮสปีด 3 สนามบิน

‘บอร์ดอีอีซี’ ขีดเส้น 4 เดือน! สั่ง ‘รฟท.’ เคลียร์ ‘ซีพี’ จบปมแก้สัญญา ‘ไฮสปีด 3 สนามบิน’

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2568 ได้มีการประชุมกพอ.ครั้งที่ 5/2568 โดยที่ประชุมในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้ดูแลหน่วยงานดังกล่าว เบื้องต้นที่ประชุมสกพอ.ได้รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือ ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.24 แสนล้านบาท โดยมีคู่สัญญาระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือซีพี สัญญาสัมปทาน 50 ปี

ขณะเดียวกันจากความล่าช้าของโครงการฯ โดยที่ประชุมสกพอ. ได้มอบหมายให้รฟท.ไปหารือกับเอกชน (ซีพี) เพื่อให้ได้ข้อยุติ เกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาตามข้อสังเกตและข้อเสนอของสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ก่อนนำกลับมารายงานต่อบอร์ดอีกครั้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต้องการให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายใน 4 เดือน เพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้

“ยืนยันว่าทุกฝ่ายยืนยันไม่มีแนวคิดยกเลิกสัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน และจะเดินหน้าแก้ไขเพื่อให้โครงการสำเร็จ เนื่องจากเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อประเทศ” แหล่งข่าวจากสกพอ. กล่าว

ทั้งนี้จากการหารือมีประเด็นหลักที่ต้องทำความเข้าใจตามข้อสังเกต 18 ประเด็นของอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นเพียงคำแนะนำที่ รฟท. สามารถชี้แจงเหตุผลและแนวทางการปฏิบัติได้

ส่วนข้อสัญญาที่อัยการสูงสุดได้แก้ไข จำนวน 6 ประเด็น ที่มีผลผูกพันหากจะมีการลงนามในสัญญาที่แก้ไข โดยปัญหาหลักเป็นเรื่องหลักประกันความซ้ำซ้อน 120,000 ล้านบาท เนื่องจากประเด็นที่เอกชนและธนาคารผู้ค้ำประกันกังวลมากที่สุด คือการแก้ไขข้อสัญญาที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันความสำเร็จของโครงการ (Bank Guarantee) มูลค่าประมาณ 120,000 ล้านบาท ซึ่งเอกชนต้องนำมาวางเพิ่มเติม จากเดิมที่สัญญาได้เปลี่ยนรูปแบบการจ่ายเงินจาก สร้างเสร็จแล้วทยอยจ่ายเป็นการสร้างไปจ่ายไป

ขณะที่การแก้ไขของอัยการสูงสุดกำหนดให้หลักประกัน 120,000 ล้านบาท มีสถานะ เหมือนกับหลักประกันสัญญาเดิมที่มีอยู่แล้ว 4,500 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่า รฟท. สามารถดึงหลักประกันนี้ไปหักชดเชยความเสียหายได้แม้ในกรณีที่เอกชนทำผิดสัญญาเล็กน้อยที่ไม่ได้ถึงขั้นทิ้งงาน เช่น การส่งงานล่าช้า

แหล่งข่าวจากสกพอ. กล่าวต่อว่า ตามขั้นตอนหลังจากนี้เอกชนและรฟท.ต้องไปชี้แจงเหตุผลเชิงการเงินการลงทุน (PPP) ต่ออัยการสูงสุดว่าควรให้หลักประกันนี้ใช้เฉพาะกรณีทิ้งงานเท่านั้น เพื่อให้ธนาคารยอมรับความเสี่ยงและสามารถออกหลักประกันทางการเงินได้ ซึ่งจะมีการหารือร่วมกัน ประกอบด้วย  รฟท. และเอกชน โดยจะมีการนัดประชุมอย่างเป็นทางการร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อหาข้อยุติภายใน 2-3 สัปดาห์

อย่างไรก็ดีตามกระบวนการหลังจากรฟท. และเอกชนได้ข้อตกลงร่วมกันได้ข้อยุติแล้ว จะต้องนำร่างสัญญาใหม่พร้อมการชี้แจงส่งกลับไปให้อัยการสูงสุดพิจารณาอีกครั้ง คาดว่ากระบวนการพิจารณาของอัยการสูงสุดจะใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 เดือน หาก อัยการสูงสุดเห็นชอบร่างสัญญาที่ผ่านความเห็นชอบร่วมกันแล้วจึงจะเสนอกลับมาที่บอร์ดอีอีซีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

Scroll Up