3 พ.ย.นี้ หาทางออก ‘ไฮสปีดซีพี’ แก้สัญญาต่อหรือเพิ่มข้อเสนอใหม่

3 พ.ย.นี้ หาทางออก ‘ไฮสปีดซีพี’ แก้สัญญาต่อหรือเพิ่มข้อเสนอใหม่

โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) นับเป็นอีกหนึ่งโครงการมหากาพย์ติดหล่มมากว่า 6 ปี 4 รัฐบาล นับจากวันลงนามสัญญา 24 ต.ค.2562 สมัยรัฐบาลประยุทธ์ 1 ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถเริ่มตอกเสาเข็มก่อสร้างได้ สืบเนื่องโควิดที่ทำให้ผู้โดยสารแอร์พอร์ตเรลลิงก์ลดลง และคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารที่จะใช้บริการไฮสปีดก็ไม่สูงตามคาดการณ์ ทำให้เอกชนที่ชนะการประมูล คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ยื่นขอรับการเยียวยาจากรัฐบาล เจรจาเงื่อนไขและรายละเอียดแก้ไขสัญญาร่วมทุนมาอย่างต่อเนื่อง สถานะปัจุบันได้เสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว

โดยประเด็นที่ เอเชีย เอรา วัน ยื่นข้อเสนอขอรับการเยียวยามีสาระสำคัญอาทิ

การชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) 

ซึ่งแนวทางแก้ไขสัญญาได้กำหนดให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่าๆ กัน และต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา

การปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการที่ปรับเป็นรูปแบบ “สร้างไปจ่ายไป” 

โดยทำให้รัฐต้องจ่ายค่าสนับสนุนงานโยธาเร็วขึ้น เป็นการจ่ายตามงวดงาน ตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ รฟท. ตรวจรับ วงเงินรวมเป็น 125,932.54 ล้านบาท แต่มีเงื่อนไขกำหนดว่าเอกชนจะต้องวางหลักประกันเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้กระทบกรณีการทิ้งงาน

ก้าวเข้าสู่รัฐบาลอนุทิน นับเป็นรัฐบาลที่ 5 ในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาไฮสปีดติดหล่มนี้ โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กำหนดนัดประชุมภายในส่วนของภาครัฐวันที่ 3 พ.ย.2568 ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา ก่อนจะนำไปเจรจาเอกชนคู่สัญญา

อย่างไรก็ดีที่ผ่านมานายพิพัฒน์ มีแผนในการแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยต้องการให้เดินหน้าโครงการให้สอดคล้องกับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งมีความเห็นประเด็นการแก้ไขสัญญาร่วมทุนในประเด็นจะมีการปรับรูปแบบการจ่ายเงินสนับสนุนของรัฐ จากเดิมสร้างเสร็จแล้วจ่าย ปรับเป็นจ่ายเป็นงวดงานในลักษณะสร้างไปจ่ายไป

สำหรับแนวทางดังกล่าวนายพิพัฒน์เห็นว่าขัดกับหลักการของสัญญา โดยหากอัยการมีความเห็นเช่นนี้จึงทำให้กระทรวงคมนาคมจะไม่ดำเนินการแก้ไขสัญญาต่อ เพราะถือเป็นกระทำที่ผิดกฎหมาย

นอกจากนี้ นายพิพัฒน์ มีแนวคิดที่จะเจรจาเพื่อหาแรงจูงใจในการลงทุนโครงการนี้เพิ่มขึ้น โดยเจรจากับเอกชนคู่สัญญา คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด เพื่อรับดำเนินโครงการช่วงส่วนต่อขยายจากท่าอากาศยานอู่ตะเภาไปยังเมืองระยอง จันทบุรี และสิ้นสุดที่ตราด ซึ่งถือเป็นส่วนต่อขยายที่จะจูงใจให้นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น มีผู้โดยสารมากขึ้น และคุ้มค่าต่อการลงทุน

อย่างไรก็ดี หากเอกชนรับข้อเสนอออปชันเสริมนี้ จะมีการเจรจาทำสัญญาใหม่หรือสัญญาต่อเนื่อง โดยมีเงื่อนไขกำหนดต้องเจรจาผลตอบแทนให้กับรัฐเพิ่มเติมด้วย เพื่อยืนยันว่าออปชันเสริมไม่ได้ทำเพื่อเอื้อเอกชน เพราะรัฐจะยังได้ผลตอบแทนเพิ่มเติม และการสร้างส่วนต่อขยายออกไป เกิดประโยชน์กับประชาชนสร้างโอกาสในการใช้บริการเพิ่มเติม

ที่มา – https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1205758

Scroll Up